Bunyawat Witthayalai School

จากคุ้มหลวงสู่สถาบันชั้นนำ: เส้นทางประวัติศาสตร์บุญวาทย์วิทยาลัย

จากคุ้มหลวงสู่สถาบันชั้นนำ: เส้นทางประวัติศาสตร์บุญวาทย์วิทยาลัย

นายมติ วงศ์ทิพจักร ศิริพันธุ์ ครูบรรณารักษ์

ปรับปรุงล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2568

โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย (อังกฤษ: Bunyawat Witthayalai School; อักษรย่อ: บ.ว. / BWS) เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐบาลแห่งแรกของจังหวัดลำปาง และเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดลำปาง มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษาแผนใหม่ในภูมิภาคล้านนาตะวันออก และเป็นศูนย์กลางสถาบันเตรียมอุดมศึกษาของภาคเหนือ โรงเรียนก่อตั้งขึ้นในยุคแห่งการปฏิรูปประเทศและการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

ประวัติการก่อตั้งและพัฒนาการในระยะแรกเริ่ม

ปฐมบทแห่งการก่อตั้ง (พ.ศ. 2441-2443)

โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2441 (ร.ศ. 117)วัดพระแก้วดอนเต้า ตำบลหัวเวียง อำเภอเมืองลำปาง การเลือกวัดเป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนในระยะแรกนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการศึกษาสมัยใหม่กับสถาบันศาสนา ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปในการปฏิรูปการศึกษาของสยามในยุคนั้น ในขณะนั้นโรงเรียนยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นที่วัดพระแก้วดอนเต้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นชั่วคราว เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่และปัจจัยอื่น ๆ โรงเรียนจึงต้องย้ายสถานที่ตั้งในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนี้:

                                                       
ปี พ.ศ. (ร.ศ.) สถานที่ตั้ง
2441 (ร.ศ. 117)วัดพระแก้วดอนเต้า
2442 (ร.ศ. 118) วัดสุชาดา
2443 (ร.ศ. 119) วัดแสงเมืองมา

การย้ายสถานที่ตั้งถึงสามครั้งภายในระยะเวลาเพียสามปีแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้งโรงเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้เกี่ยวข้องที่จะทำให้โรงเรียนแห่งนี้สามารถยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้

ยุคทองแห่งการอุปถัมภ์: บทบาทของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต (พ.ศ. 2444-2448)

จุดเปลี่ยนสำคัญของโรงเรียนเกิดขึ้นเมื่อ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางในสมัยนั้น ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาในการพัฒนาบ้านเมืองและประชาชน จึงได้ให้การสนับสนุนและอุปถัมภ์โรงเรียนอย่างเต็มที่ การอุปถัมภ์ของพระองค์มิได้เกิดจากความสนพระทัยส่วนพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การดำเนินนโยบายสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลสยามในบริบทของการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองล้านนา

ภายใต้การอุปถัมภ์ของเจ้าบุญวาทย์ฯ โรงเรียนได้ย้ายจากวัดแสงเมืองมาตั้งอยู่บริเวณ หน้าคุ้มหลวง อันเป็นจวนที่ประทับของเจ้าผู้ครองนคร การย้ายมายังหน้าคุ้มหลวงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เจ้าบุญวาทย์ฯ ทรงมีต่อโรงเรียน และเป็นการเปิดโอกาสให้โรงเรียนได้ใกล้ชิดกับศูนย์กลางการปกครองและชุมชนเมืองมากยิ่งขึ้น ครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนนี้คือ "ครูเปลี่ยน"

เมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานที่เรียนเดิมเริ่มไม่เพียงพอ เจ้าบุญวาทย์ฯ ทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงทรงตัดสินพระทัยซื้อที่ดินบริเวณ ห้างกิมเซ่งหลี (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งของโรงแรมอรุณศักดิ์) ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำล้อม อำเภอเมืองลำปาง เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนแห่งใหม่ การตัดสินพระทัยซื้อที่ดินและย้ายโรงเรียนมายังที่แห่งใหม่นี้ ถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยอย่างแท้จริง ที่ดินแห่งใหม่มีความกว้างขวางและเหมาะสมต่อการพัฒนาโรงเรียนให้เจริญก้าวหน้า นอกจากนี้ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตยังทรงซื้ออาคารและที่ดินของห้างกิมเซ่งหลีเป็นจำนวนเงิน 13,000 บาท และจ่ายค่าซ่อมอาคารเป็นเงิน 432 บาท โรงเรียนแห่งใหม่นี้เปิดทำการเรียนการสอนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 และทรงมอบเงินซื้ออุปกรณ์การเรียนอีก 200 บาท หลังจากนั้น เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตได้มอบโรงเรียนแห่งนี้เป็นสมบัติของรัฐบาล

ปีมหามงคลแห่งนามพระราชทาน (พ.ศ. 2448)

ในปี พ.ศ. 2448 (ร.ศ. 124) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียน ณ บริเวณหน้าคุ้มหลวง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2448 การเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียนในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชหฤทัยที่ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาในหัวเมือง และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และนักเรียน

ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ ได้พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า "บุญวาทย์วิทยาลัย" เพื่อเป็นเกียรติแก่ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง ซึ่งได้ทรงอุปถัมภ์และทำนุบำรุงโรงเรียนมาโดยตลอด เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ได้รับการบันทึกไว้ใน พระราชนิพนธ์ "ลิลิตพายัพ" ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงใช้พระนามแฝง "หนานแก้วเมืองบูรพ์" มีใจความว่า:

"วันที่ซาวหกนั้น เสด็จไป
ทรงเปิดโรงเรียนไทย ฤกษ์เช้า
บุญวาทย์วิทยาลัย ขนานชื่อ ประทานนอ
เป็นเกียรติยศแด่เจ้า ปกแคว้นลำปาง"

การพระราชทานนามนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง เป็นการตอกย้ำอำนาจอธิปไตยของราชสำนักสยามเหนือดินแดนล้านนา และเป็นการประนีประนอมกับอำนาจท้องถิ่น นอกจากนี้ การพระราชทานคำว่า "วิทยาลัย" ซึ่งในสมัยนั้นเป็นสถานศึกษาระดับสูง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันนี้ในฐานะกลไกการพัฒนาการศึกษาในหัวเมืองเหนือ ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยจึงถือเอา วันที่ 26 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันสถาปนาโรงเรียน

โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล (โรงเรียนเจ้าชื่น) และการรวมกิจการ

หลังจากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้ย้ายออกจากหน้าคุ้ม เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตได้ตั้งโรงเรียนแห่งใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่งบริเวณ หอพระในสวนดอกไม้ในคุ้มหลวง สำหรับบุตรหลานและเด็กที่อยู่บริเวณใกล้เคียง โรงเรียนนี้ไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในตอนแรก แต่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า "โรงเรียนเจ้าชื่น" ตามพระนามของแม่เจ้าเมืองชื่น พระชายาของเจ้าบุญวาทย์ฯ

ต่อมาโรงเรียนเจ้าชื่นได้ย้ายมาอยู่ตรงหน้าคุ้มและได้รับชื่อว่า "โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล" ตามชื่อเดิมของเจ้าบุญวาทย์ฯ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า "โรงเรียนหน้าคุ้ม" ภายหลังโรงเรียนแห่งนี้ได้ย้ายมารวมกับโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2472 การรวมสถาบันการศึกษาทั้งสองแห่งเข้าด้วยกันนับเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย

การขยายพื้นที่และการพัฒนาการศึกษา

การย้ายโรงเรียนสู่ที่ตั้งปัจจุบัน (พ.ศ. 2474)

ในปี พ.ศ. 2474 ขณะที่ ครูจรัล สุขเกษม เป็นครูใหญ่ เนื่องจากสถานที่เรียนเดิม (บริเวณห้างกิมเซ่งหลี) คับแคบเกินไป ไม่เพียงพอสำหรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอาคารเรียนมีสภาพทรุดโทรมและตั้งอยู่ในย่านการค้า โรงเรียนจึงได้ย้ายมาตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง (ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย) บนเนื้อที่ 40 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2474 ผู้ประมูลรับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่คือ รองอำมาตย์โท หลวงประสานไมตรีราษฎร์ ในวงเงิน 10,000 บาท เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น มี 10 ห้องเรียนตามแบบแปลนของกระทรวงศึกษาธิการ และยังได้ทำสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมให้โดยไม่คิดมูลค่าเป็นเงิน 1,800 บาท

ต่อมาโรงเรียนบุญวาทย์ได้ขยายชั้นเรียนและก่อสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมตามลำดับ เพื่อรองรับการขยายตัวของการศึกษาและจำนวนนักเรียน โดยเนื้อที่ของโรงเรียนได้ขยายออกเป็น 44 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา

พัฒนาการด้านการศึกษาและอาคารสถานที่ (พ.ศ. 2490 เป็นต้นไป)

  • พ.ศ. 2490: โรงเรียนได้เปิดชั้น เตรียมอุดมศึกษาของจังหวัดลำปาง เป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นแห่งแรกในภาคเหนือ และมีการสร้าง อาคารวิทยาศาสตร์ โดยใช้งบประมาณ รายได้จากการจัดงานฤดูหนาวของจังหวัดลำปาง และเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาสมทบทุน อาคารวิทยาศาสตร์นี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ซึ่งมีลักษณะเรียบง่าย ลดทอนรายละเอียด และสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยใช้อาคารปฏิบัติการฟิสิกส์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นต้นแบบ การก่อสร้างอาคารวิทยาศาสตร์เสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2493
ช่วงเวลาครูใหญ่/ผู้อำนวยการสำคัญ พัฒนาการ/เหตุการณ์สำคัญ
พ.ศ. 2448 - 2474 (เริ่มจาก ครูหวาน วิทยาศรัย ถึง ครูจรัล สุขเกษม) โรงเรียนตั้งอยู่ที่ห้างกิมเซ่งหลี
พ.ศ. 2478 - 2486 (ครูพันธ์ รัติกนก, ครูวัน บุญฤทธิ์)
พ.ศ. 2486 - 2487 (นายระบิล สีตะสุวรรณ)
พ.ศ. 2487 (นายเสนาะ ธรรมครองอาตม์) ขออนุมัติขยายชั้นเรียนถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1-2 (วิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์) ได้งบประมาณและเงินรายได้ 450,000 บาท สร้างอาคารวิทยาศาสตร์
พ.ศ. 2495 (นายถิ่น รัติกนก) วางโครงการสร้างอาคารเรียนตึก 2 ชั้น 20 ห้องเรียน งบ 1,200,000 บาท ได้รับอนุมัติ 400,000 บาท สร้างได้ 8 ห้องเรียนเสร็จและเปิดใช้ 4 มิ.ย. 2498
พ.ศ. 2499 (นายเฟ้อ พิริยพันธ์) ขอสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมแต่ไม่ได้รับอนุมัติ ขอซื้องบที่ดิน 4 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา ราคา 92,500 บาท สร้างบ้านพักครู (รวมที่ดินโรงเรียน 44 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา)
พ.ศ. 2503 (นายเฟ้อ พิริยพันธ์) สร้างอาคารห้องสมุด 1 หลัง (41,662.90 บาท) เปิดใช้ 17 พ.ค. 2505 ได้เงิน 150,000 บาท สร้างอาคารเรียนไม้ชั้นเดียว 8 ห้องเรียน "อาคารเหมันต์อนุสรณ์" (ปัจจุบันถูกรื้อแล้ว) เปิดใช้ 28 มี.ค. 2504
พ.ศ. 2505 (นายสุเชษฐ์ วิชชวุฒ) ของบประมาณ 52,900 บาท สร้างอาคารต่อเติม (4 ห้องเรียน) เปิดใช้ 22 ก.พ. 2510
พ.ศ. 2513 เข้าโครงการพัฒนาการศึกษาโรงเรียนมัธยมแบบประสม (ค.ม.ส.) ร่วมกับแคนาดาและธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสามัญศึกษากู้เงินสร้างอาคาร 7,500,000 บาท
พ.ศ. 2514 โครงการ ค.ม.ส. สร้างโรงฝึกงานอุตสาหกรรมศิลป์ชั่วคราว 1 หลัง (120,000 บาท)
พ.ศ. 2515 กรมสามัญศึกษาดำเนินการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ มูลค่ารวม 7,500,000 บาท (ดูรายละเอียดด้านล่าง)
พ.ศ. 2516 (อาจารย์เจือ หมายเจริญ) ปรับปรุงการเรียนการสอนและบริเวณโรงเรียน ตั้งโรงเรียนสอนผู้ใหญ่ เปิดสอนระดับ 4 และ 5 เวลากลางคืน
พ.ศ. 2517 - 2518 (อาจารย์สมชาย นพเจริญกุล) ปรับปรุงด้านวิชาการและปกครอง จัดตั้งสมาคมผู้ปกครองและครู ส่งเสริมกิจกรรมร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่า ปรับปรุงสนามกีฬา
พ.ศ. 2520 ได้งบประมาณ 4,000,000 บาท สร้างอาคารแบบ 424 ก. 1 หลัง เสร็จและเริ่มใช้ 4 พ.ค. 2521
พ.ศ. 2522 (นายศรีสมมารถ ไชยเนตร) ปรับปรุงการเรียนการสอน การจัดวางบุคลากร ปรับปรุงส่งเสริมกิจกรรมร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าและผู้ปกครองและครู ปรับปรุงสนามกีฬา โรงอาหาร ระเบียบการเบิกจ่ายวัสดุ-ครุภัณฑ์ ได้งบสร้างอาคารชั่วคราว 5 ห้อง 432,000 บาท
พ.ศ. 2523 (นายศรีสมมารถ ไชยเนตร) ได้รับเงินสนับสนุนจากสมาคมฯ 230,000 บาท
พ.ศ. 2524 (นายศรีสมมารถ ไชยเนตร) สมาคมฯ จัดหารายได้ 473,561 บาท เพื่อพัฒนาโรงเรียน (สร้างเสาธงชาติ ซื้อเครื่องถ่ายเอกสาร อุปกรณ์โรงฝึกงาน อุปกรณ์วงดุริยางค์ เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะเก้าอี้นักเรียน ปรับปรุงนาฏศิลป์ สนับสนุนการรักษาพยาบาล จัดทำเต็นท์ เปลี่ยนเครื่องยนต์รถจี๊ป)
พ.ศ. 2525 ได้งบประมาณสร้างอาคารเรียน 418 ก. 1 หลัง มูลค่า 4,200,000 บาท (เสร็จ 15 ก.ย. 2526) ได้งบประมาณสร้างโรงอาหารพร้อมหอประชุมขนาดใหญ่ 1 หลัง มูลค่า 2,000,000 บาท (เสร็จ 2 ก.ค. 2526)
พ.ศ. 2526 ใช้เงินบริจาคจากผู้ปกครองจัดชุดเจาะน้ำบาดาล 3 บ่อ (ประมาณ 140,000 บาท) ได้รับเงินจากหลวงพ่อเกษม เขมโก 200,000 บาท สร้างอาคารธุรการ "อาคารหลวงพ่อเกษมอนุสรณ์ครบรอบ 72 ปี" (เปิด 26 ม.ค. 2527)

อาคารที่สร้างจากโครงการ ค.ม.ส. (พ.ศ. 2515) มูลค่า 7,500,000 บาท:

  • อาคารตึก 3 ชั้น 1 หลัง (22 ห้องเรียน)
  • โรงฝึกงานอุตสาหกรรมศิลป์ 3 ห้อง (ช่างโลหะ, ช่างยนต์, ช่างไม้-เขียนแบบ, ช่างไฟฟ้า-วิทยุ)
  • โรงฝึกงานเกษตรกรรมศิลป์ 1 หลัง และเรือนเพาะชำ 1 หลัง
  • โรงพลศึกษา 1 หลัง
  • บ้านพักครู 16 หลัง
  • ห้องน้ำนักเรียน 2 หลัง

การก่อสร้างอาคารเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยและทำพิธีเปิดใช้เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน

อาคารเรียนปัจจุบันของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย

ปัจจุบันโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยมีอาคารและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ดังนี้:

ชื่ออาคาร/สถานที่ ปีที่สร้าง/ข้อมูลเพิ่มเติม
อาคารกีรติคุณ สร้างปี 2493 เดิมเป็นอาคารวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเป็นอาคารดนตรีและนาฏศิลป์
อาคารคุณากร (อาคาร 1) สร้างปี 2496 เป็นอาคารอำนวยการของโรงเรียน
อาคารบวรวิทย์ (อาคาร 2) สร้างปี 2516 เป็นอาคารวิทยาศาสตร์
โรงฝึกงานช่างก่อสร้าง-ช่างไฟฟ้า สร้างปี 2516
โรงงานฝึกช่างโลหะ-พื้นฐาน สร้างปี 2516
โรงฝึกงานช่างยนต์-เขียนแบบ สร้างปี 2516
อาคารวิบุลพล 1 สร้างปี 2516 เป็นอาคารสนามวอลเลย์บอล
อาคารพิสิฐเมธี (อาคาร 3) สร้างปี 2520 เป็นอาคารเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1, 2, 3
อาคารกุศลเกษม สร้างปี 2522 เป็นอาคารวิชาคหกรรมและห้องพักครู
อาคารไวทยพิชญ์ (อาคาร 6) สร้างปี 2526 เป็นอาคารเรียนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3
อาคารวิบุลพล 2 สร้างปี 2526 เป็นอาคารวิชาศิลปะ
อาคารพยาบาล สร้างปี 2527
อาคารประชาสัมพันธ์ สร้างปี 2529
อาคารจิตรภัสสร์ (อาคาร 7) สร้างปี 2533 เป็นอาคารเรียนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2, 3
อาคารสมรรถเกียรติ สร้างปี 2534 เป็นอาคารโรงอาหารและหอประชุม
อาคารบุญชู ตรีทอง สร้างปี 2534 เป็นอาคารหอประชุม สร้างโดยได้รับเงินบริจาคจากนายบุญชู ตรีทอง ศิษย์เก่า
ศูนย์ฝึกกีฬากรมสามัญศึกษา สร้างปี 2535
ศาลาพระพุทธ สร้างปี 2536
อาคารศิวาลัย เป็นอาคารเรียนวิชาเกษตร หลังแผ่นดินไหวขนาด 7.7 วันที่ 28 มี.ค. พ.ศ. 2568 อาคารศิวาลัยเป็นตึกที่เสียหายมากที่สุดเนื่องจากตัวอาคารทรุด
อาคาร 8 - สมานฉันท์รังสฤษฎ์ เป็นอาคารเรียนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
อาคาร 9 - มานิตธำรง เป็นอาคารเรียนแบบพิเศษ 4 ชั้น รูปตัวแอล (L) ตึกเก้าเป็นตึกแรกในภาคเหนือที่มีการใส่โครงสร้างเหล็กป้องกันแผ่นดินไหว
สวนป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราฯ และสวนป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ
พลับพลา เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีคราวเสด็จฯ จ.ลำปาง และพลับพลาที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ปัจจุบันพลับพลาเดิมถูกรื้อแล้วเนื่องจากผุพังและมูลค้างคาว และได้สร้างพลับพลาหลังใหม่ขึ้นเสร็จในปี 2554
สหกรณ์โรงเรียน

ร้อยปีแห่งความภาคภูมิใจและศตวรรษที่สอง

นับตั้งแต่วันที่โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้สถาปนามา จนกระทั่งวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 โรงเรียนได้มีอายุครบ 100 ปี ซึ่งเป็นร้อยปีแห่งความภาคภูมิใจที่ได้สร้างเยาวชนที่มีคุณภาพให้แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติเกือบ 100 รุ่น ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนได้มีอายุครบ 125 ปี ตลอดระยะเวลา 125 ปี โรงเรียนได้สร้างเยาวชนที่มีคุณภาพให้แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติมาแล้วกว่า 120 รุ่น

สถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญในโรงเรียน

อนุสาวรีย์เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต

โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้จัดสร้าง พระอนุสาวรีย์เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ขึ้น เพื่อเป็นที่สักการะในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของชาวลำปางและเป็นผู้ให้กำเนิดโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย แนวคิดในการสร้างอนุสาวรีย์ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2516 โดยคณะกรรมการสมาคมนักเรียนเก่าบุญวาทย์วิทยาลัย วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2517 มีมติให้จัดหาทุนโดยจัดทำเหรียญที่ระลึก วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เกษม เขมโก มอบเงินให้ 400,000 บาท (200,000 บาทสำหรับสร้างอนุสาวรีย์และ 200,000 บาทสำหรับสร้างอาคารสมาคมฯ) และอนุญาตให้นำเหรียญรูปพลตรี มหาอำมาตย์โท เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต จำนวน 30,000 เหรียญ เข้าพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2518

วันที่ เหตุการณ์สำคัญ
29 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ประกอบพิธีเททองหล่ออนุสาวรีย์ ณ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช เป็นองค์ประธาน
10 มิถุนายน พ.ศ. 2521 อัญเชิญอนุสาวรีย์มาประดิษฐานชั่วคราว ณ กลางวัดบ้านฟ่อน
15 มิถุนายน พ.ศ. 2521 อัญเชิญอนุสาวรีย์จากบ้านฟ่อนมาหลังสถานีรถไฟลำปาง และจัดขบวนอัญเชิญเข้าสู่ตัวเมืองลำปาง มาประดิษฐานชั่วคราวบริเวณโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานอนุสาวรีย์ และอัญเชิญอนุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐาน ณ ฐานอนุสาวรีย์ หน้าตึกวิทยาศาสตร์ (อาคารบวรวิทย์) โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์บุญสม มาร์ติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน
11 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 มีพิธีเปิดและฉลองอนุสาวรีย์ รวม 6 วัน 6 คืน ณ บริเวณโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย

ศาลาพระพุทธและพระพุทธเกษมมิ่งมงคล

พระพุทธเกษมมิ่งมงคล เป็นพระพุทธปฏิมาประจำโรงเรียนบุญวาทย์ ประดิษฐานอยู่ในศาลาพระพุทธ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นผู้มอบให้แก่โรงเรียน ภายในศาลายังประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งได้รับบริจาคจาก พลโท อำพล - คุณสินีย์ จุลานนท์ และ พระสำเร็จ จิตคุตฺโต รวมถึงรูปหล่อหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งได้รับบริจาคจาก คุณเดชา และคุณจิตรา สินธุเขียว โดยรูปหล่อนี้หลวงพ่อได้อธิษฐานจิตเองด้วย

ศาลาพระพุทธ หลังนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่หลวงพ่อเกษม เขมโก สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง จำลองแบบจากพระวิหารเจ้าแม่จามเทวี วัดปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ตามคำแนะนำของ อาจารย์สมพงษ์ ตันติกุลวรชัย และผู้ถอดแบบคือ อาจารย์เกษม มหาวรรณ การก่อสร้างอยู่ภายใต้การอำนวยการของ อาจารย์สายสมร เจริญจันทร์แดง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน โดยมีอาจารย์สมบูรณ์ ยศสมแสน เป็นประธานการก่อสร้าง และอาจารย์ยอดยิ่ง นุชนิยม เป็นฝ่ายจัดหาทุน ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเกษม เขมโก ประเดิมทุนจำนวน 300,000 บาท และคณาจารย์ตลอดจนศรัทธาสาธุชนร่วมบริจาครวมเงินค่าก่อสร้างประมาณ 1,300,000 บาท

ศาลเจ้าพ่อกว้าน

ศาลเจ้าพ่อกว้าน ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและประวัติศาสตร์ชุมชนล้านนา และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองลำปาง

ปฐมบทแห่งศาลสถิตยุติธรรม:

ศาลเจ้าพ่อกว้านถือกำเนิดในฐานะ "ศาลตัดสินความ" ของทางราชการ ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังบ้านพักผู้พิพากษาหัวหน้าศาลบนถนนบุญวาทย์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบศิลปะไทยล้านนา ขนาดใหญ่โตกว้างประมาณ 10 เมตร และยาว 20 เมตร โครงสร้างหลักสร้างด้วย ไม้สักทอง โดยมีเทคนิคการก่อสร้างแบบโบราณที่ไม่ใช้ตะปู แต่ใช้วิธีการเข้าลิ่มสลักไม้ ซึ่งสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น หน้าจั่วประดับด้วยลวดลายสลักเสลาอันวิจิตร ภายในศาลมีแท่นบัลลังก์สำหรับจ่าบ้านหรือผู้พิพากษา และแท่นที่ประทับสำหรับเจ้านายผู้มีอำนาจปกครอง ก่อนเริ่มกระบวนการพิจารณาคดี คู่กรณีต้องทำพิธีสาบานตนต่อหน้า "หอเล็ก ๆ" อันเป็นที่สถิตของเจ้าพ่อกว้าน ซึ่งถือเป็น "ศาลศักดิ์สิทธิ์" ด้วยเหตุนี้ ศาลสถิตยุติธรรมจึงได้รับการขนานนามว่า "ศาลเจ้ากว้าน"

เจ้าพ่อกว้าน: เสื้อเมืองและรากฐานความศรัทธา:

แม้ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกอัตลักษณ์และที่มาของ "เจ้าพ่อกว้าน" อย่างชัดเจน แต่ท่านทรงสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองในระดับเดียวกับเจ้าพ่อหลักเมือง เมื่อมีการบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมือง เครื่องเซ่นสังเวยครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งไปถวายแด่เจ้าพ่อกว้านเสมอ ความเชื่อเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านปรากฏในพิธีกรรมสำคัญของท้องถิ่น โดยเฉพาะในยามบ้านเมืองเผชิญภัยสงคราม หรือเมื่อเจ้าหน้าที่ต้องการติดตามจับกุมผู้ร้ายสำคัญ เครื่องเซ่นสังเวยประกอบด้วย หมูดำปลอด ไก่คู่ ตีนหมูสี่ตัว วัวกีบผึ้ง และหางไหม พิธีกรรมจัดขึ้นประจำทุกปีใน เดือน 9 เหนือ แรม 5 ค่ำ ในยุคแรกเน้นบวงสรวงสักการะ โดยไม่มีการเชิญเข้าทรงหรือฟ้อนผี

การย้ายถิ่นฐานสู่ร่มเงาบุญวาทย์วิทยาลัย (พ.ศ. 2479):

เมื่อมีการก่อสร้าง "ศาลยุติธรรม" แห่งใหม่ ศาลเจ้าพ่อกว้านเดิมจึงถูกทิ้งร้าง การตัดสินใจย้ายศาลเจ้าพ่อกว้านมายังโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยในปี พ.ศ. 2479 สะท้อนถึงความพยายามในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น การย้ายดำเนินการอย่างพิถีพิถัน โดยคงรูปแบบและโครงสร้างเดิมไว้ทุกประการ ศาลเจ้าพ่อกว้านแห่งใหม่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเสาธงของโรงเรียน และได้รับการปรับเปลี่ยนบทบาทจากสโมสรลูกเสือ สถานที่อบรมครู ไปจนถึงห้องเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียนเก่าบุญวาทย์วิทยาลัยที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในศาลเจ้าพ่อกว้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ลูกเจ้ากว้าน"

ความศักดิ์สิทธิ์ในโรงเรียนและการรื้อถอน (พ.ศ. 2497):

ความเชื่อเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์ยังคงดำรงอยู่และส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาคมโรงเรียน ครูปานแก้ว พันธ์ปวน เล่าว่านักเรียนใหม่ทุกคนที่ย้ายเข้ามาเรียนในศาลเจ้าพ่อกว้านจะต้องทำพิธีบอกกล่าวและเคารพสักการะเจ้าพ่อก่อน หากละเลย อาจประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ เรื่องเล่าเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปรากฏในประสบการณ์ของครูและนักเรียน เช่น กรณีนักเรียนซุกซนปีนป่ายแล้วมีอาการปวดท้อง และเหตุการณ์ในงานฤดูหนาวที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงหลังจากการบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อกว้านอย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2497 โรงเรียนได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการเพื่อก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ ตามแผนผังที่ออกแบบโดย หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล อาคารหลังใหม่จะต้องถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อกว้านเดิม ทำให้ศาลเจ้าพ่อกว้านต้องถูกรื้อถอน ชิ้นส่วนไม้สักถูกนำไปกองเก็บไว้บริเวณหน้าตึกวิทยาศาสตร์ (อาคารกีรติคุณในปัจจุบัน) และโรงพลศึกษา ชิ้นส่วนบางส่วนได้รับการร้องขอและนำไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์วัดเมืองสาสน์ และพิพิธภัณฑ์วัดพระแก้วดอนเต้า

ปัจจุบันและบทบาทอันยั่งยืน:

ปัจจุบัน ศาลเจ้าพ่อกว้านปรากฏอยู่สองแห่ง:

  • ที่ตั้งเดิมในบริเวณ ตลาดรอบเวียง (กาดเจ้ากว้าน) ตรงข้ามโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ยังคงมีการประกอบพิธีกรรมทรงเจ้าและฟ้อนผีตามความเชื่อดั้งเดิม
  • ศาลเจ้าพ่อกว้านขนาดเล็กที่สร้างขึ้นใหม่ทดแทนศาลใหญ่เดิม ศาลเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังตึกวิทยาศาสตร์เก่าของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย (ปัจจุบันคืออาคารกีรติคุณ) ต่อมาถูกย้ายและสร้างขึ้นใหม่อย่างสง่างาม ณ บริเวณ ประตูทางเข้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยในปัจจุบัน

ทั้งสองสถานที่นี้เป็นที่เคารพสักการะและแสดงถึงความผูกพันของศาลเจ้าพ่อกว้านกับทั้งโรงเรียนและชุมชน ศาลเจ้าพ่อกว้านเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวลำปาง โดยเฉพาะนักเรียน นักกีฬา และคณาจารย์โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ที่มักเดินทางไปสักการะขอพรให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันและการศึกษา และเป็น "ขวัญ" และที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบุญวาทย์วิทยาลัยตลอดไป

รายนามผู้อำนวยการโรงเรียน (พ.ศ. 2441-ปัจจุบัน)

ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยมีครูใหญ่และผู้อำนวยการมาแล้ว 30 ท่าน:

ลำดับที่ ชื่อ-นามสกุล ช่วงปีที่ดำรงตำแหน่ง
1ครูเปลี่ยนพ.ศ. 2441-2448
2พระยาวิทยาศรัย (หวาน วิทยาศรัย)พ.ศ. 2448-2450
3ขุนประพุทธนิติสาร (เสริม จันทร์เรือง)พ.ศ. 2450-2455
4หลวงสุนทรเลข (ระไว อรุณศรี)พ.ศ. 2455-2460
5นายถนอม จิราพันธ์พ.ศ. 2460
6ขุนอักษรสิทธิ์ (ทองอยู่)พ.ศ. 2460-2465
7นายขุน มีนะนันท์พ.ศ. 2465-2470
8ขุนวิชากิจพิสันท์ (ถนอม วิเศษสุมน)พ.ศ. 2470-2474
9นายจรัล สุขเกษมพ.ศ. 2474-2478
10นายพันธ์ รัติกนกพ.ศ. 2478-2480
11นายวัน บุญฤทธิ์พ.ศ. 2480-2486
12นายระบิล สีตะสุวรรณพ.ศ. 2486-2487
13นายเสนาะ ธรรมครองอาตม์พ.ศ. 2487-2491
14นายโชติ สุวรรณชินพ.ศ. 2491-2495
15นายถิ่น รัติกนกพ.ศ. 2495-2499
16นายเฟ้อ พิริยพันธ์พ.ศ. 2499-2505
17นายสุเชฏฐ์ วิชชวุฒพ.ศ. 2505-2516
18นายเจือ หมายเจริญพ.ศ. 2516-2517
19นายสมชาย นพเจริญกุลพ.ศ. 2517-2522
20นายศรีสมมารถ ไชยเนตรพ.ศ. 2522-2532
21นายประสิทธิ์ แสนไชยพ.ศ. 2532-2534
22นางสาวสายสมร เจริญจันทร์แดงพ.ศ. 2534-2536
23นายสาหร่าย แสงทองพ.ศ. 2536-2541
24นายประดิษฐ์ จันทร์แสนตอพ.ศ. 2541-2547
25นายวีรยุทธ จงสถาพรพงศ์พ.ศ. 2547-2549
26นางเบญจวรรณ ไกรวุฒินันท์พ.ศ. 2549-2555
27ดร.สาโรจน์ แก้วอรุณพ.ศ. 2555-2559
28นายสกล ทะแกล้วพันธุ์พ.ศ. 2559-2562
29นายพูลศักดิ์ จิตสว่างพ.ศ. 2562-2564
30นายนิรันดร หมื่นสุขพ.ศ. 2565-ปัจจุบัน

ในปัจจุบัน โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยยังคงเป็นสถาบันที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงคู่เมืองลำปาง เป็นแหล่งบ่มเพาะปัญญาและสร้างสรรค์เยาวชนให้เป็นคนดี คนเก่ง เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป