โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความสำคัญยิ่งทางด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดลำปาง เนื่องจากเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกของจังหวัด ซึ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2441 (รัตนโกสินทร์ศก 117) ณ วัดพระแก้วดอนเต้า ภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เกี่ยวพันกับผู้ปกครองท้องถิ่นในสมัยนั้น การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตัวของประชากรและระบบการศึกษาในประเทศไทย
การก่อตั้งและสถานที่ตั้งในช่วงแรก
โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยเริ่มต้นการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2441 ณ วัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งเป็นวัดที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมในจังหวัดลำปาง ในช่วงเวลาดังกล่าว การศึกษายังคงจำกัดอยู่ในขอบเขตของวัดและศาสนสถาน แต่การก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในภูมิภาคนี้ ไม่นานหลังจากการก่อตั้ง โรงเรียนได้ย้ายไปยังสถานที่ใหม่หลายครั้ง โดยในปี พ.ศ. 2442 ได้ย้ายไปยังวัดสุชาดา และในปี พ.ศ. 2443 ได้ย้ายไปยังวัดแสงเมืองมา ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดการเรียนการสอนในช่วงแรกเริ่ม
การพัฒนาภายใต้การสนับสนุนของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต
การพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางในขณะนั้น ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการศึกษาของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย เมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้นจนทำให้สถานที่เรียนเดิมนั้นไม่เพียงพอ เจ้าบุญวาทย์ฯ ได้ย้ายโรงเรียนจากวัดแสงเมืองมายังหน้าคุ้มของท่านเอง นอกจากนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของจำนวนนักเรียน เจ้าบุญวาทย์ฯ ยังได้ซื้อที่ดินบริเวณห้างกิมเซ่งหลี (ปัจจุบันคือโรงแรมอรุณศักดิ์) ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำล้อม อำเภอเมืองลำปาง และได้ย้ายโรงเรียนไปยังสถานที่แห่งใหม่ในปี พ.ศ. 2448 นับเป็นการสร้างสถานที่ที่มีความพร้อมและเหมาะสมสำหรับการจัดการศึกษาในระดับที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
การเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงเรียนโดยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
ในปีเดียวกัน (พ.ศ. 2448) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จต่างพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เพื่อประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ และได้เสด็จมาทรงเปิดโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. 2448 ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ ได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า “บุญวาทย์วิทยาลัย” ตามราชทินนามของเจ้าหลวงบุญวาทย์ฯ เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ท่าน ซึ่งปรากฏหลักฐานในพระราชนิพนธ์ “ลิลิตพายัพ” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงใช้พระนามแฝงว่า “หนานแก้วเมืองบูรพ์” ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
วันที่ซาวหกนั้น เสด็จไป
ทรงเปิดโรงเรียนไทย ฤกษ์เช้า
บุญวาทย์วิทยาลัย ขนานชื่อ ประทานนอ
เป็นเกียรติยศแด่เจ้า ปกแคว้นลำปาง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้ถือเอาวันที่ 26 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันสถาปนาโรงเรียน ซึ่งเป็นวันที่มีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งโรงเรียนและท้องถิ่น
การพัฒนาในช่วงต่อมาและการรวมโรงเรียน
หลังจากที่โรงเรียนบุญวาทย์ได้ย้ายออกมาจากหน้าคุ้ม เจ้าบุญวาทย์ฯ ได้ตั้งโรงเรียนใหม่ขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง ตรงที่หอพระบริเวณสวนดอกไม้ในคุ้มหลวง เพื่อให้บุตรหลานของเจ้าพ่อได้เรียน และขยายการรับนักเรียนจากบริเวณใกล้เคียงด้วย แม้ว่าโรงเรียนนี้จะไม่มีชื่อ แต่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “โรงเรียนเจ้าชื่น” ต่อมาโรงเรียนนี้ได้ย้ายมาอยู่ตรงหน้าคุ้ม และได้ชื่อว่า “โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล” ตามชื่อเดิมของเจ้าหลวงบุญวาทย์ฯ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “โรงเรียนหน้าคุ้ม” อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2472 โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูลได้ย้ายมาเรียนรวมกับโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสองโรงเรียนที่มีความสำคัญในท้องถิ่น
การขยายตัวและพัฒนาสู่ยุคใหม่
ในปี พ.ศ. 2474 สถานที่เรียนเดิมที่ตั้งอยู่บริเวณห้างกิมเซ่งหลีเริ่มคับแคบเกินกว่าที่จะรองรับนักเรียนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้น โรงเรียนจึงได้ย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง (สถานที่ตั้งของโรงเรียนบุญวาทย์ปัจจุบัน) ในเนื้อที่ 40 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ซึ่งเป็นสถานที่ที่กว้างขวางและเหมาะสมสำหรับการขยายตัวของโรงเรียน จากนั้นในปี พ.ศ. 2490 โรงเรียนได้เปิดชั้นเตรียมอุดมศึกษาของจังหวัดลำปาง และได้สร้างอาคารวิทยาศาสตร์โดยใช้เงินงบประมาณและรายได้จากการจัดงานฤดูหนาวของจังหวัดลำปาง รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของโรงเรียนในท้องถิ่นและประเทศชาติ
การเฉลิมฉลองร้อยยี่สิบห้าปีแห่งการสถาปนา
ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้ครบอายุ 125 ปี ซึ่งเป็นร้อยปีแห่งความภาคภูมิใจที่ได้สั่งสมมายาวนาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรงเรียนได้สร้างเยาวชนที่มีคุณภาพให้แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติกว่า 120 รุ่น ด้วยการให้การศึกษาที่มีคุณภาพและส่งเสริมการพัฒนาทักษะหลากหลายด้าน ทำให้โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยกลายเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความสำคัญและเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ
การก่อตั้งและการพัฒนาของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของระบบการศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดลำปาง โรงเรียนแห่งนี้ได้ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การก่อตั้งในวัดไปจนถึงการย้ายไปยังสถานที่ที่เหมาะสม พร้อมกับการสนับสนุนจากเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตและผู้มีจิตศรัทธาต่างๆ ทำให้โรงเรียนสามารถเติบโตและพัฒนาไปตามกาลเวลา จนกลายเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความสำคัญและเป็นที่ยอมรับในท้องถิ่นและประเทศชาติ
ในบริบททางประวัติศาสตร์ ศาลเจ้าพ่อกว้านถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและความศรัทธาของนักเรียนและครูในโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย รวมถึงประชาชนในจังหวัดลำปางอย่างยาวนาน นอกเหนือจากสี “แดง – ขาว” ที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนแล้ว ศาลเจ้าพ่อกว้านยังคงดำรงสถานะในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง การสำรวจประวัติศาสตร์ของศาลเจ้าแห่งนี้จึงไม่เพียงแต่เปิดเผยถึงความเชื่อมโยงระหว่างประเพณีทางศาสนา สถาบันการศึกษา และวิถีชีวิตของชาวลำปางเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของศาสนสถานนี้ในบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์และการก่อสร้าง
ศาลเจ้าพ่อกว้านเดิมตั้งอยู่หลังบ้านพักผู้พิพากษาหัวหน้าศาล บนถนนบุญวาทย์ เป็นอาคารศาลทรงไทยขนาดใหญ่ มีความกว้างประมาณ 10 เมตร และยาวประมาณ 20 เมตร โครงสร้างของศาลมีความโดดเด่นเนื่องจากทำจากไม้สักซึ่งสลักลวดลายที่หน้าจั่วอย่างประณีต การก่อสร้างใช้เทคนิคแบบดั้งเดิมโดยไม่ใช้ตะปูเลย แต่ใช้ลิ่มสลักไม้แทน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่และคุณค่าทางสถาปัตยกรรมของศาล
ในอดีต ศาลเจ้าพ่อกว้านเคยเป็นสถานที่สำหรับการตัดสินคดีของทางราชการ มีแท่นหรือบัลลังก์สำหรับจ่าบ้านหรือผู้พิพากษา และยังมีแท่นสำหรับเจ้านาย คู่กรณีที่จะให้การต่อศาลจำเป็นต้องสาบานต่อหน้าหอเล็กๆ ใกล้ๆ กับศาลว่าจะให้การตามความเป็นจริง หอเล็กๆ นี้เองคือที่สถิตของเจ้าพ่อกว้าน และศาลสถิตยุติธรรมจึงได้รับการเรียกชื่อว่าศาลเจ้าพ่อกว้านไปด้วย
ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้าน
แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเจ้าพ่อกว้าน แต่ความสำคัญของเจ้าพ่อนั้นเทียบเท่ากับเจ้าพ่อหลักเมือง จากการสังเกตพบว่าทุกครั้งที่มีการเซ่นสังเวยเจ้าพ่อหลักเมือง จะต้องแบ่งเครื่องเซ่นส่วนหนึ่งไปสังเวยเจ้าพ่อกว้านเสมอ นอกจากนี้ เมื่อเกิดสงครามหรือตำรวจต้องออกจับผู้ร้ายสำคัญ จำเป็นต้องบวงสรวงเจ้าพ่อกว้านเสียก่อน เครื่องเซ่นประกอบด้วยหมูดำปลอด 1 ตัว ไก่คู่ ตีนหมู (4 ตัว) วัวกีบผึ้ง และหางไหม 1 ตัว การบวงสรวงในอดีตตกเป็นหน้าที่ของลุงแสน ภวังค์ ผู้สูงอายุที่เป็นผู้รับผิดชอบงานนี้โดยเฉพาะ ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านเป็นที่ยอมรับตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครจนถึงราษฎรสามัญ ทุกปีในเดือน 9 เหนือ แรม 5 ค่ำ จะมีการบวงสรวงประจำปีโดยไม่มีการเชิญเข้าทรงหรือฟ้อนผีเหมือนในยุคปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงและการอนุรักษ์
เมื่อมีการสร้างศาลยุติธรรมใหม่ (ศาลจังหวัดปัจจุบัน) การชำระคดีต่างๆ จึงย้ายไปทำการที่ศาลใหม่ ศาลเจ้าพ่อกว้านเดิมจึงถูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้งานใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อรักษาของเก่าไว้ ทางการจึงตัดสินใจรื้อศาลเจ้าพ่อกว้านจากสถานที่ตั้งเดิมและสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยในปี พ.ศ. 2479 การสร้างใหม่ครั้งนี้สร้างเหมือนของเดิมทุกประการ โดยไม่มีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมอะไร ในปีแรกที่ย้ายเข้ามา ศาลเจ้าพ่อกว้านยังไม่ได้ใช้เป็นห้องเรียน แต่ในปีต่อมา ศาลเจ้าพ่อกว้านได้ถูกใช้เป็นสโมสรลูกเสือ และสถานที่อบรมครูในระดับจังหวัด ต่อมาเมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ศาลเจ้าพ่อกว้านจึงถูกใช้เป็นห้องเรียนของชั้นมัธยมปีที่ 1 ดังนั้น นักเรียนเก่าบุญวาทย์ฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา จึงได้ชื่อว่าเป็นลูกเจ้ากว้านด้วยกันทุกคน
ความเชื่อและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านมีผลต่อชีวิตประจำวันของนักเรียนและครูในโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ตามคำบอกเล่าของครูปานแก้ว พันธ์ปวน อดีตครูเก่าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย นักเรียนใหม่ที่เข้ามาเรียนในศาลเจ้าพ่อกว้านจำเป็นต้องบอกกล่าวเจ้าพ่อเสียก่อน หากไม่บอกอาจเกิดอาการเจ็บป่วยหรือไม่สบายต่างๆ ต้องบนบานเจ้าพ่อจึงจะหาย นักเรียนซนๆ ที่ชอบปีนป่ายฝาห้องหรือไปนั่งบนแท่นต้องปวดท้องทุกคน แต่เมื่อขอขมาลาโทษเจ้าพ่อแล้วก็หายเป็นปกติ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์หลายครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ เช่น การบวงสรวงก่อนงานฤดูหนาวของสมาคมนักเรียนเก่าบุญวาทย์ ที่ทำให้ฝนหยุดตกและงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
การรื้อถอนและการอนุรักษ์
ในปี พ.ศ. 2497 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้รับงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารเรียนใหม่จากกระทรวงศึกษาธิการ โดยอาคารนี้ถูกออกแบบโดยหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ตามแผนผังที่กำหนด อาคารใหม่นั้นตั้งอยู่บนตำแหน่งเดิมของศาลเจ้าพ่อกว้าน ดังนั้นศาลเจ้าพ่อกว้านเดิมจึงจำเป็นต้องถูกรื้อถอนออกไป แม้ว่าบางส่วนของชิ้นไม้ที่ประกอบเป็นศาลจะถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดเมืองศาสน์และวัดพระแก้วดอนเต้า แต่ศาลที่ถูกรื้อไปนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้มีขนาดใหญ่เท่าเดิม แต่กลับลดขนาดลงแทน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีที่ยังมีผู้ที่เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ศิลปะวัตถุและของโบราณ จึงนำชิ้นส่วนบางส่วนของศาลไปเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสม เพื่อรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และความทรงจำของชาวบุญวาทย์วิทยาลัย
ปัจจุบันและบทบาทต่อโรงเรียน
ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อกว้านมีสองแห่ง โดยแห่งแรกตั้งอยู่ในบริเวณตลาดรอบเวียงตรงข้ามโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย และมีการทรงเจ้าพร้อมกับฟ้อนผี ส่วนอีกแห่งหนึ่งจากเดิมคือศาลเล็กๆ ที่สร้างขึ้นใหม่หลังจากการรื้อถอนศาลใหญ่เดิม ซึ่งเคยตั้งอยู่หลังตึกวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย (อาคารกีรติคุณในปัจจุบัน) ภายหลังจากนั้น ศาลได้ถูกย้ายและสร้างขึ้นใหม่เป็นขนาดใหญ่กว่าเดิม ณ บริเวณประตูหน้าโรงเรียน ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะหรือวิชาการ นักเรียนและนักกีฬาที่ต้องแบกรับภาระชื่อเสียงของโรงเรียนในฐานะตัวแทน จะต้องไปบอกกล่าวและขอกำลังใจจากเจ้าพ่อกว้าน แม้ว่าอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ตราบใดที่มีการแข่งขัน เจ้าพ่อกว้านยังคงเป็น “ขวัญ” ของชาวบุญวาทย์เสมอมา
โดยรวมแล้ว ศาลเจ้าพ่อกว้านเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา ความงดงามของสถาปัตยกรรม หรือบทบาทในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้แก่นักเรียนและครู แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในอดีต แต่ศาลเจ้าพ่อกว้านยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบุญวาทย์และประชาชนในจังหวัดลำปางยังคงเคารพและนับถือมาจนถึงปัจจุบัน