มติ วงศ์ทิพจักร ศิริพันธุ์
ครูบรรณารักษ์ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
แก้ไขล่าสุด: 26 เมษายน 2568
บทความวิชาการเชิงประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยานี้ศึกษาประวัติความเป็นมาและความสำคัญของศาลเจ้าพ่อกว้าน จังหวัดลำปาง โดยติดตามเส้นทางของศาลตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นในฐานะศาลสถิตยุติธรรมที่มีบทบาทสำคัญในการพิจารณาคดีความ ควบคู่ไปกับการเป็นที่สถิตของ "เจ้าพ่อกว้าน" ซึ่งเป็นเสื้อเมืองที่ได้รับการเคารพศรัทธา เชื่อมโยงกับระบบการปกครองและความเชื่อพื้นถิ่นในอดีต บทความอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของศาลเจ้าพ่อกว้านภายหลังการปฏิรูประบบยุติธรรม นำมาสู่การรื้อย้ายศาลหลังเดิมมาประดิษฐานและใช้งานหลากหลายรูปแบบภายในพื้นที่โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ก่อนจะมีการรื้อถอนอาคารส่วนใหญ่ในเวลาต่อมาเพื่อการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ แม้ว่าอาคารเดิมจะถูกรื้อถอนไป แต่ความเชื่อและความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านยังคงดำรงอยู่และได้รับการสืบทอดในรูปแบบของศาลจำลองและความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่นักเรียนเก่า คณาจารย์ และคนในชุมชน บทความวิเคราะห์ว่า ศาลเจ้าพ่อกว้านดำรงอยู่ไม่เพียงในฐานะโบราณสถาน แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและมรดกทางจิตวิญญาณที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของความเชื่อดั้งเดิมภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเลือกสรรมรดกทางวัฒนธรรม และความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างประวัติศาสตร์ ความเชื่อ ชุมชน และสถาบันการศึกษาในบริบทของสังคมล้านนาและสังคมไทยสมัยใหม่
คำสำคัญ: ศาลเจ้าพ่อกว้าน, ลำปาง, ประวัติศาสตร์ล้านนา, ความเชื่อพื้นถิ่น, มรดกทางวัฒนธรรม, โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
ในบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของจังหวัดลำปาง ศาลเจ้าพ่อกว้านดำรงอยู่มิได้เป็นเพียงอาคารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นดั่งสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าที่สะท้อนถึงความเชื่อ ความศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนล้านนา ศาลเจ้าพ่อกว้านมีที่มาจากประวัติศาสตร์ล้านนาในฐานะสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยงกับทั้งมิติความเชื่อทางจิตวิญญาณและระบบการปกครอง กระบวนการยุติธรรมในอดีต1 สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มิได้จำกัดความสำคัญเพียงในรั้วโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนในภูมิภาคล้านนา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดลำปาง2 สำหรับผู้คนในท้องถิ่น ศาลเจ้าพ่อกว้านเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวและสร้างขวัญกำลังใจ เคียงคู่ไปกับความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชน3,4 สำหรับชาวโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ศาลเจ้าพ่อกว้านยิ่งทวีความหมาย เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสถาบันที่ผูกพันกับรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองอย่างลึกซึ้ง
การศึกษาประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อกว้านจึงมิใช่เพียงการทำความเข้าใจโบราณสถาน แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โลกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันศาสนา การปกครอง และการศึกษาในบริบทสังคมล้านนา5 อีกทั้งยังเป็นการศึกษาความเชื่อ ประเพณี และความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างชุมชน สถาบันการศึกษา และมิติทางจิตวิญญาณที่สืบทอดกันมา การทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยมุมมองทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม6 บทความนี้จึงมุ่งสำรวจเส้นทางของศาลเจ้าพ่อกว้าน จากจุดกำเนิดในฐานะศาลสถิตยุติธรรม สู่การกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและมรดกทางจิตวิญญาณที่สำคัญของชุมชนและโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
ในยุคสมัยที่การปกครองและกระบวนการยุติธรรมยังผูกพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายจารีต7,1 ศาลเจ้าพ่อกว้านได้ถือกำเนิดขึ้น ณ บริเวณด้านหลังบ้านพักของผู้พิพากษาหัวหน้าศาล บนถนนบุญวาทย์อันเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมืองลำปางในอดีต ศาลแห่งนี้มิได้เป็นเพียงศาสนสถาน หากแต่มีบทบาทสำคัญในฐานะ "ศาลตัดสินความ" ของทางราชการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศาลแบบดั้งเดิมก่อนการปฏิรูประบบยุติธรรมในสมัยรัชกาลที่ 58
ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ศาลเจ้าพ่อกว้านถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงตามแบบศิลปะทรงไทยล้านนา มีขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 10 เมตร และยาวถึง 20 เมตร9, น. 150-155 โครงสร้างหลักทำจากไม้สักทองอันทรงคุณค่า สะท้อนถึงทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของภาคเหนือในอดีตและความสำคัญของอาคาร10 ความน่าทึ่งของการก่อสร้างอยู่ที่เทคนิคอันแยบยลของช่างโบราณที่สร้างศาลไม้สักทั้งหลังโดยปราศจากการใช้ตะปู หากแต่ใช้วิธีการเข้าลิ่มสลักไม้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สะท้อนถึงความละเอียด ประณีต และความแข็งแรงทนทาน11 หน้าจั่วของศาลประดับประดาด้วยลวดลายสลักเสลาอันอ่อนช้อยงดงาม เพิ่มพูนความสง่าและคุณค่าทางศิลปะตามแบบศิลปะล้านนา12
ภายในศาลประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญที่บ่งบอกถึงหน้าที่ในการพิจารณาคดีความ อาทิ แท่นบัลลังก์สำหรับจ่าบ้านหรือผู้พิพากษา ผู้ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาท และแท่นที่ประทับสำหรับเจ้านายผู้มีอำนาจปกครอง ซึ่งสะท้อนโครงสร้างอำนาจและการปกครองท้องถิ่นแบบจารีต13 ก่อนเริ่มกระบวนการให้การต่อศาล คู่กรณีจะต้องกระทำพิธีสาบานตนต่อหน้า "หอเล็กๆ" อันเป็นที่สถิตของเจ้าพ่อกว้าน การสาบานเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการยุติธรรมแบบดั้งเดิมหลายวัฒนธรรมเพื่อค้ำประกันความสัตย์จริง14 หอเล็กๆ แห่งนี้จึงเป็นเสมือน "ศาลศักดิ์สิทธิ์" ที่คู่ความต้องให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะให้การตามความเป็นจริง ความเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมทางสังคมและผดุงความยุติธรรม15 ซึ่งเป็นกลไกทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในสังคมไทย16 ด้วยเหตุนี้เอง ศาลสถิตยุติธรรมจึงพลอยได้รับการขนานนามว่า "ศาลเจ้ากว้าน" สืบเนื่องจากความเชื่อและความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อที่สิงสถิตอยู่ในบริเวณนั้น นามอันเป็นมงคลนี้จึงมิได้จำกัดอยู่เพียงศาลในโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยในปัจจุบัน หากแต่เป็นชื่อที่ผู้คนแต่ดั้งเดิมใช้เรียกขานศาลสถิตยุติธรรมแห่งนี้
แม้ว่าจวบจนปัจจุบัน จะยังมิอาจทราบแน่ชัดถึงอัตลักษณ์และที่มาของ "เจ้าพ่อกว้าน" เสื้อเมืองผู้ปกปักษ์รักษาศาลสถิตยุติธรรมแห่งนี้ แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เจ้าพ่อกว้านทรงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ได้รับการเคารพศรัทธาอย่างกว้างขวางในระดับเดียวกับเจ้าพ่อหลักเมือง คติความเชื่อเรื่อง "เสื้อเมือง" หรือ "เสื้อบ้าน" (guardian spirits of the territory) เป็นความเชื่อพื้นฐานที่พบได้ทั่วไปในอุษาคเนย์ รวมถึงในสังคมล้านนา17,2,1
หลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ถึงความสำคัญของเจ้าพ่อกว้านคือ ธรรมเนียมปฏิบัติในการเซ่นสังเวย ทุกครั้งที่มีการบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมือง เครื่องเซ่นสังเวยครึ่งหนึ่งจะต้องถูกแบ่งสรรปันส่วนเพื่อนำไปถวายแด่เจ้าพ่อกว้านเสมอมา การแบ่งปันเครื่องเซ่นสะท้อนถึงการยอมรับในสถานะและอำนาจของเจ้าพ่อกว้านในปริมณฑลความเชื่อท้องถิ่น18 นอกจากนี้ ในยามบ้านเมืองเผชิญกับภัยสงคราม หรือเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการติดตามจับกุมผู้ร้ายสำคัญ การบวงสรวงขอพรจากเจ้าพ่อกว้านถือเป็นพิธีกรรมสำคัญที่ขาดมิได้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้คนในการพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านในการปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและผู้คน19
เครื่องเซ่นสังเวยที่ใช้ในการบวงสรวงเจ้าพ่อกว้านประกอบด้วยสิ่งของที่เป็นมงคลและสื่อถึงความบริสุทธิ์ อาทิ หมูดำปลอด (หมูที่ไม่มีสีอื่นเจือปน) จำนวนหนึ่งตัว ไก่คู่ ตีนหมูสี่ตัว วัวกีบผึ้ง และหางไหมหนึ่งตัว ลักษณะของเครื่องเซ่นเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับพิธีกรรมเลี้ยงผีบรรพบุรุษหรือผีอารักษ์อื่นๆ ในล้านนา18,20 เป็นประจำทุกปี ในเดือน 9 เหนือ แรม 5 ค่ำ จะมีการจัดพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ประจำปีอย่างยิ่งใหญ่ โดยในยุคแรกเริ่ม พิธีกรรมเน้นที่การบวงสรวงและสักการะ มิได้มีการเชิญเข้าทรงหรือฟ้อนผี การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพิธีกรรมนี้อาจสะท้อนพลวัตทางสังคมและความเชื่อที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย21,6 พิธีกรรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมของผู้คนในนครลำปางที่สืบทอดกันมา
เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความเจริญก้าวหน้าทางสังคมได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในระบบศาลสถิตยุติธรรม การก่อสร้าง "ศาลยุติธรรม" แห่งใหม่ (ศาลจังหวัดปัจจุบัน) ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูประบบการศาลในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ทำให้กระบวนการพิจารณาคดีต่างๆ ย้ายไปดำเนินการ ณ สถานที่แห่งใหม่8 ส่งผลให้ศาลเจ้าพ่อกว้านเดิมถูกทิ้งร้าง
ด้วยเจตนารมณ์ที่จะอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ทางราชการจึงมีดำริที่จะรื้อย้ายศาลเจ้าพ่อกว้านจากที่ตั้งเดิมมายัง "โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย" ในราวปี พ.ศ. 2479¹. การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการนำศาลเจ้าพ่อกว้านมาประดิษฐาน ณ สถานที่อันเป็นศูนย์รวมของเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมผ่านสถาบันการศึกษาเป็นการเชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบันและอนาคต22 สะท้อนถึงการปะทะสังสรรค์ระหว่างความเป็นสมัยใหม่และประเพณีในสังคมไทย6
การรื้อย้ายและสร้างศาลเจ้าพ่อกว้านขึ้นใหม่ในบริเวณโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้ดำเนินการอย่างพิถีพิถัน โดยคงรูปแบบและโครงสร้างเดิมไว้ทุกประการ ไม่มีตัดทอนหรือเพิ่มเติมองค์ประกอบใดๆ กระบวนการนี้สะท้อนหลักการเบื้องต้นของการอนุรักษ์โบราณสถาน23 ศาลเจ้าพ่อกว้านที่สร้างขึ้นใหม่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเสาธงของโรงเรียน ในช่วงแรกที่ย้ายมายังโรงเรียน ศาลเจ้าพ่อกว้านยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นห้องเรียน กระทั่งในปีต่อมา ศาลจึงถูกปรับเปลี่ยนบทบาทเป็น "สโมสรลูกเสือ" ต่อมายังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการอบรมครู ว. (ครูจังหวัด) และท้ายที่สุด เมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ศาลเจ้าพ่อกว้านจึงถูกปรับเปลี่ยนเป็น "ห้องเรียน" สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานของอาคารประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ท้าทายต่อการอนุรักษ์ในระยะยาว24 ด้วยเหตุนี้ นักเรียนเก่าบุญวาทย์วิทยาลัยที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในศาลเจ้าพ่อกว้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา จึงได้รับการขนานนามอย่างภาคภูมิใจว่าเป็น "ลูกเจ้ากว้าน" ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงนักเรียนเข้ากับประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเมืองผ่านศาลเจ้าพ่อกว้าน สร้างอัตลักษณ์และความผูกพันกับสถาบันและท้องถิ่น25
ตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านยังคงดำรงอยู่และส่งผลต่อวิถีชีวิตของนักเรียนและครูในโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จากคำบอกเล่าของครูปานแก้ว พันธ์ปวน21 อดีตครูเก่าผู้เป็นที่เคารพรักของศิษย์เก่าบุญวาทย์ฯ นักเรียนใหม่ทุกคนที่ย้ายเข้ามาเรียนในศาลเจ้าพ่อกว้านจะต้องกระทำพิธีบอกกล่าวและเคารพสักการะเจ้าพ่อเสียก่อน หากละเลยอาจประสบเคราะห์กรรม เช่น อาการเจ็บป่วยไม่สบาย นักเรียนที่ซุกซนปีนป่ายฝาห้องหรือขึ้นไปนั่งบนแท่นบัลลังก์ มักมีอาการปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อสำนึกผิดและขอขมาลาโทษต่อเจ้าพ่อ อาการก็จะทุเลาลง เรื่องเล่าเหล่านี้ทำหน้าที่เสริมสร้างความเชื่อและควบคุมพฤติกรรมในชุมชนโรงเรียน26 ครูปานแก้วยังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่รู้สึกราวกับมีใครมายืนอยู่ข้างๆ และสะกิดให้ตื่นขณะง่วงงุนในศาลเจ้าพ่อกว้าน ซึ่งท่านเชื่อว่าเป็นการมาประทับของเจ้าพ่อ
อีกเหตุการณ์ที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์คือเหตุการณ์ในงานฤดูหนาวที่จัดโดยสมาคมนักเรียนเก่าบุญวาทย์วิทยาลัยในอดีต ที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากการบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อกว้าน การตีความเหตุการณ์ธรรมชาติว่าเป็นการตอบสนองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ในหลายวัฒนธรรม27 เหตุการณ์นี้เป็นที่กล่าวขานและตอกย้ำความเชื่อในหมู่ชาวบุญวาทย์วิทยาลัยและผู้คนในท้องถิ่นถึงอานุภาพแห่งเจ้าพ่อกว้าน ซึ่งสะท้อนการดำรงอยู่ของ "วัฒนธรรมชาวบ้าน" หรือความเชื่อพื้นถิ่นที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน แม้ในสถาบันการศึกษา3
อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของศาลเจ้าพ่อกว้านในบริเวณโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยก็มิได้เป็นไปอย่างถาวร ในปี พ.ศ. 2497³ โรงเรียนได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการเพื่อก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ ตามแผนผังที่ออกแบบโดยหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล28 อาคารหลังใหม่จะต้องถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อกว้านเดิม ด้วยเหตุนี้ ศาลเจ้าพ่อกว้านซึ่งเป็นอาคารไม้หลังใหญ่จึงจำเป็นต้องถูกรื้อถอน การรื้อถอนอาคารประวัติศาสตร์เพื่อการพัฒนาสมัยใหม่เป็นประเด็นถกเถียงสำคัญในการจัดการมรดกวัฒนธรรม29 และเป็นภาพสะท้อนของการเผชิญหน้าระหว่างการพัฒนากับการธำรงรักษาอดีตในสังคมไทย6
ชิ้นส่วนไม้สักอันทรงคุณค่าที่เป็นองค์ประกอบของศาลเจ้าพ่อกว้านได้ถูกนำไปกองเก็บไว้บริเวณหน้าตึกวิทยาศาสตร์ (อาคารกีรติคุณในปัจจุบัน) และโรงพลศึกษา บ้างก็นำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ถึงกระนั้น ชิ้นส่วนบางส่วนของศาลเจ้าพ่อกว้านได้รับการร้องขอและนำไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์วัดเมืองสาสน์ และพิพิธภัณฑ์วัดพระแก้วดอนเต้า ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมส่วนหนึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมในพิพิธภัณฑ์ ทำให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาและชื่นชม30
ปัจจุบัน ศาลเจ้าพ่อกว้านปรากฏอยู่สองแห่งด้วยกัน แห่งแรกคือบริเวณที่ตั้งเดิมในบริเวณตลาดรอบเวียง (กาดเจ้ากว้าน) ตรงข้ามโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ณ สถานที่แห่งนี้ ยังคงมีการประกอบพิธีกรรมทรงเจ้าและฟ้อนผีตามความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของผู้คนทั่วไป การดำรงอยู่ของพิธีกรรมเหล่านี้แสดงถึงความต่อเนื่องของความเชื่อพื้นถิ่น31 ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือศาลเจ้าพ่อกว้านขนาดเล็กที่สร้างขึ้นใหม่ทดแทนศาลใหญ่เดิม ศาลเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย การสร้างศาลจำลองหรือศาลทดแทนเป็นวิธีการหนึ่งในการสืบทอดความทรงจำและความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่เดิม32 ทั้งสองสถานที่นี้ต่างเป็นที่เคารพสักการะและแสดงให้เห็นถึงความผูกพันของศาลเจ้าพ่อกว้านกับทั้งโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยและชุมชน ซึ่งเป็นพื้นที่ทางสังคมที่ "คนเมือง" ใช้แสดงออกถึงอัตลักษณ์และความเชื่อของตน4
ศาลเจ้าพ่อกว้านเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวลำปาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน นักกีฬา และคณาจารย์โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย33 ที่มักเดินทางไปสักการะขอพรให้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันทั้งด้านการศึกษาและแข่งขันทักษะ ทุกครั้งที่นักกีฬาทีมแดง-ขาวหรือนักเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยต้องออกไปแข่งขันในนามโรงเรียน พวกเขาจะเดินทางไปขอพรจากศาลเจ้าพ่อกว้าน เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและเป็นสิริมงคล การปฏิบัติเช่นนี้สะท้อนบทบาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างขวัญกำลังใจและความรู้สึกเป็นกลุ่มก้อน34 ความศรัทธานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียน แต่ยังแพร่หลายไปสู่ผู้คนในชุมชน ทำให้ศาลเจ้าพ่อกว้านกลายเป็นมรดกทางจิตวิญญาณร่วมกันของคนเมืองลำปาง35
ในแง่ประวัติศาสตร์ชุมชน ศาลเจ้าพ่อกว้านเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงระบบความเชื่อดั้งเดิมกับสถาบันสมัยใหม่ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของวัฒนธรรมท้องถิ่นภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลง36,6 ในมิติมานุษยวิทยาศาสนา ความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อกว้านสะท้อนให้เห็นถึงระบบความเชื่อแบบผสมผสาน (Syncretism) ในสังคมล้านนา ที่บูรณาการระหว่างความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษหรือผีอารักษ์ (Animism) อำนาจเหนือธรรมชาติ และระบบศีลธรรมที่เชื่อมโยงกับหลักการแห่งความยุติธรรม37,31,1 ในด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม การย้ายศาลเจ้าพ่อกว้านมายังโรงเรียนและการสร้างศาลเล็กทดแทนแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเลือกสรรและตีความมรดกทางวัฒนธรรม (Heritage Selection) ของชุมชน โดยเฉพาะในยุคที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับกระแสการพัฒนาตามแนวทางตะวันตก การรักษาและสืบทอดสถาปัตยกรรมและความเชื่อดั้งเดิมจึงมีนัยสำคัญในการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น22,38 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและต่อรองความหมายของ "ความเป็นไทย" และ "ความเป็นท้องถิ่น"39,4
ศาลเจ้าพ่อกว้านเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับสถาบันสมัยใหม่ และระหว่างชุมชนกับสถาบันการศึกษา ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อกว้านที่ดำรงอยู่ในความเชื่อของผู้คนทั้งในและนอกรั้วโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย แสดงให้เห็นพลังของความเชื่อที่สามารถปรับตัวและดำรงอยู่ในสังคมสมัยใหม่ได้ การผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับกิจกรรมและพิธีกรรมในบริบทปัจจุบัน สะท้อนกระบวนการสร้างความหมายใหม่ให้กับมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ศาลเจ้าพ่อกว้านจึงไม่เพียงเป็นอาคารโบราณสถานที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำร่วมของชุมชน เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และเป็นสัญลักษณ์แห่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตและความหมายในสังคมร่วมสมัย แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด "เจ้าพ่อกว้าน" ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของลูกบุญวาทย์และผู้คนในนครลำปางสืบไป